To Be A Better Learner
- LearnerMai
- Jan 4, 2018
- 1 min read
Updated: Jan 15, 2018

“Self-education is lifelong curiosity.”
Lailah Gifty Akita, Pearls of Wisdom: Great mind
หลายๆท่านคงเคยประสบปัญหาในด้านการเรียน สาเหตุอันเนื่องมาจาก ‘การสื่อสาร’ ระหว่างคุณครูและนักเรียน ในชั้นเรียน
เคยไหมคะ? เคยนึกไม่ชอบวิชาใดวิชาหนึ่ง (หรือหลายๆวิชา) เนื่องจากคุณครูสอนไม่เข้าใจ ถามหรืออธิบายเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบที่กระจ่างแจ้งและชัดเจน จนตนเองเกิดอาการไม่พอใจ พาลเกลียดคุณครูและวิชาเรียนนั้นๆไปโดยปริยาย ปัญหานี้ต่อมาได้ส่งผลกระทบต่อผลการเรียน หรือเกรดที่ได้รับนั้นก็ออกมาไม่สวยงามเท่าที่ควร รวมถึงความรู้ที่ควรได้รับนั้นก็ไม่มากพอ
แต่การที่เราจะมัวแต่ไปนั่งโทษคุณครูอยู่ฝ่ายเดียวก็ใช่ที อย่าลืมว่าคนเรานั้นมีหลากหลายประเภท หลากชีวิตมานั่งรวมกันอยู่ในห้องเดียว ลองนึกดูสิคะ เราเองยังเข้ากับคนไม่ได้ทุกคนเลย เฉกเช่นเดียวกับ การเรียนรู้ ของเรา และ การสอนของคุณครู นับประสาอะไรกับครูคนเดียวท่ามกลางนักเรียนอีกนับสิบชีวิต ซึ่งจำนวนหนึ่งในนั้นโชคดีสามารถสปาร์คหรือจูนติด (หรือชอบไปเลย) และถ้าจะหันมาโทษตัวเองที่ไม่ได้เรื่อง เรียนอย่างไรก็ไม่เข้าหัว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนะคะ หนำซ้ำยังเป็นการก่อกำแพงให้สูงยิ่งๆขึ้นไปอีก
รู้ไหมคะ? ว่าปัญหาพวกนี้จะเบาลงได้เมื่อเราใช้ ‘การเรียนรู้ด้วยตนเอง’ ของเราให้เป็นประโยชน์ ทำได้ด้วยตนเอง เสียเวลาหน่อยแต่ประโยชน์มหาศาล เราอาจจะเห็นตัวอย่างเหล่านี้จากในหนังฝรั่งที่เด็กวัยเรียนจะมีช่วงเวลาหนึ่งคือ ‘Study Time’ เป็นการนำเนื้อหาที่ได้เล่าเรียนในแต่ละวันมาทบทวน เรียบเรียงโดยอาศัยสไตล์การเรียนรู้ของตนเอง ในห้องเรียนที่คุณครูสอนเราก็นำมาไกด์เป็นแนวทางในการค้นคว้าแล้วนำมาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ยกตัวอย่างเรื่องการเรียนภาษา ที่ผู้เรียนจะจำกัดนิยามในการเรียนไม่เหมือนกัน บางคนเลือกให้คุณครูสอนแล้วนำมาประยุกต์ใช้ บางคนท่องจำเก่ง บางคนเรียนรู้ได้ทุกที่ที่มีภาษา บางคนพูดเก่ง สำเนียงดี ทั้งๆที่ไม่เคยไปอยู่ต่างประเทศ บางคนใช้ภาษาอย่างมีลักษณะจำเพาะ เช่นนายเอ ชอบทำกิจกรรมในคลาส มักจะยกมือตอบคำถาม เข้าใจในสิ่งที่คุณครูอธิบาย นำสิ่งที่คุณครูสอนมาใช้ในสถานการณ์จริงโดยปรับเปลี่ยนหรือประยุกต์ตัวภาษาไปตามบริบท ส่วนนายบี ซึ่งเรียนอยู่ห้องเดียวกับนายเอ ไม่ค่อยเข้าในสิ่งที่คุณครูอธิบายในชั้นเรียน จึงไม่ค่อยแสดงออกมากนัก แต่นายบีมักจะจดหัวข้อหรือเนื้อหาที่คุณครูสอนมาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง นายบีเองนั้นสามารถนำความรู้ที่ได้รับมาใช้ได้ดีไม่แพ้นายเอ หรือแม้กระทั่งตอนสอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างและนิยามหรือการจำกัดความของคนๆหนึ่งที่มีต่อสิ่งนั้นๆ
“Characteristic cognitive,
affective, and psychological behaviors that serve as
relatively stable indicators of how learners perceive, interact
with, and respond to the learning environment.”
Keefe, J.W. (Learning Style: An Overview)
การเรียนรู้ พูดถึงสิ่งนี้แล้วหลายๆคนนึกเบื่อขึ้นมาทันทีเลยใช่ไหมคะ? แต่ที่แน่ๆ สิ่งๆนี้เป็นสิ่งที่เราพึงปฏิบัติมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูด เดิน รับประทานอาหาร หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้ในห้องเรียน แน่นอนว่าแต่คนย่อมมีสไตล์การเรียนรู้แตกต่างกันออกไป ขอยกตัวอย่างโดยอ้างอิงจาก Kolb’s Experiential Learning Model ซึ่งได้แบ่งชนิดของผู้เรียนออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้
Type 1 the diverger (concrete, reflective) ผู้เรียนนั้นตอบสนอง และอธิบายความสัมพัทธ์ระหว่างสื่อการเรียนในห้องเรียนกับประสบการณ์ของตน โดยมีการตั้งข้อสงสัยด้วยคำถามประเภท ‘ทำไม?’ (Why?)
Type 2 the assimilator (abstract, reflective) ผู้เรียนจะคำนึงถึงที่มาที่ไปและความเป็น เหตุเป็นผลของเนื้อหาที่ได้รับ โดยมีการตั้งข้อสงสัยด้วยคำถามประเภท 'อะไร?' (What?)
Type 3 the converger (abstract, active) ผู้เรียนสามารถแสดงออกในแง่ของการทำกิจกรรม และปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยด้วยคำถามประเภท 'อย่างไร?' (How?)
Type 4 the accommodator (concrete, active) ผู้เรียนประเภทนี้สามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง หรือในการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยด้วยคำถามประเภท 'ถ้าหาก?' (What if?)
นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่นำมาให้ลองเปรียบเทียบกับตนเองดู สไตล์การเรียนนั้นอาจจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ลองพิจารณาตนเองดูค่ะว่าลึกๆแล้วหรือที่ผ่านมาเราเรียนรู้อย่างไร เมื่อหาทางของตนเองเจอแล้ว ทีนี้ไม่ว่าอะไรเราก็พร้อมที่จะรับเข้ามาโดยไม่ต้องมาติดอยู่ในกำแพงที่ก่อขึ้นมาเอง คุณครูก็จะไม่เสียใจด้วยค่ะ (ฮา) แถมสิ่งนี้ยังเป็นสิ่งที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตเลยค่ะ
Written by Phattaranit Rojanawisit
Comments